บทนำ
พระเมตไตรย์ หรือพระศรีอาริยเมตไตรย์ หรือ พระเมตเตยยะ ในบาลี ในภาษาสันสกฤตเรียกว่า ไมตรียะ เป็นพระโพธิสัตว์ที่ถูกกล่าวถึงในฐานะที่เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ต่อไปในภัทรกัลป์นี้ ซึ่งจะตรัสรู้หลังจากที่ศาสนาของพระพุทธเจ้าศากยมุนีได้หมดสิ้นลง และโลกเข้าสู่ยุคเสื่อม เมื่อโลกกลับฟื้นฟูความเจริญขึ้นใหม่ พระสูตรบาลีกล่าวว่า เมื่อมนุษย์อายุ ๘๐,๐๐๐ ปี พระเมตไตรย์สัมมาสัมพุทธเจ้า จะอุบัติขึ้นในโลก [1] และจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าออกสั่งสอนสรรพสัตว์
เรื่องราวของพระเมตไตรย์โพธิสัตว์ หรือเรียกกันโดยว่า พระศรีอาริย์ เป็นที่สนใจของพุทธศาสนิกชนโดยเฉพาะชาวไทยที่มักจะทราบเรื่องราวและเรื่องเล่าว่าในยุคของพระศรีอาริย์จะมีแต่ความสุขความเจริญไม่มีความทุกข์ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้มีที่มาจากความเข้าใจที่หลากหลาย โดยเฉพาะในพระพุทธศาสนาทั้งสองสาย คือสายบาลี และสายสันสกฤต หรือเรียกว่า สายเถรวาท และสายมหายาน
พระเมตไตรย์ในมุมมองของชาวพุทธแบบเถรวาท
ในคัมภีร์เถรวาทชั้นต้นคือพระไตรปิฎก พระนามของของพระเมตไตรย์มีกล่าวถึงในฝ่ายบาลีเพียงเล็กน้อย เท่าที่สืบค้นได้ พบเพียงในพระสูตรเดียวคือ จักกวัตติสูตร พระพุทธเจ้าตรัสถึงยุคสมัยของพระเจ้าสังขะบรมจักรพรรดิ์ จะได้ครองเมืองนามว่า เกตุมวดี และในยุคนั้นพระพุทธเจ้าพระนามว่า เมตเตยยะ จะอุบัติขึ้นในโลก เมื่อมนุษย์อายุแปดหมื่นปี และพระเจ้าสังขะ จะสละราชสมบัติออกผนวชในสำนักของพระเมตไตรย์สัมมาสัมพุทธเจ้า
“ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น พระเจ้าสังขะ จักรับสั่งให้ยกปราสาทที่พระเจ้ามหาปนาทะโปรดให้สร้างไว้ แล้วประทับอยู่ ทรงสละบำเพ็ญทานแก่สมณพราหมณ์ คนกำพร้า คนเดินทาง วณิพกและยาจกทั้งหลาย จักทรงปลงพระเกศาและพระมัสสุ ทรงครองผ้ากาสาวพัสตร์ เสด็จออกจากพระราชวังผนวชเป็นบรรพชิตในสำนักของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าเมตไตรย ท้าวเธอผนวชแล้วไม่นานอย่างนี้ ทรงหลีกไปอยู่ผู้เดียว ไม่ประมาทมีความเพียร อุทิศกายและใจอยู่ ไม่นานนัก ก็ทำให้แจ้งประโยชน์อันยอดเยี่ยมอันเป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์ที่เหล่ากุลบุตรผู้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการด้วยพระปัญญาอันยิ่งเองเข้าถึงอยู่ในปัจจุบันอย่างแน่แท้” [2]
ในอรรถกถากล่าวถึงพระเมตไตรย์สัมมาสัมพุทธเจ้าเพียงเล็กน้อย ด้วยข้อความว่า ในยุคสมัยนั้นมนุษย์อายุแปดหมื่นปี และเป็นยุคเสื่อมของสรรพสัตว์ เพราะพระพุทธเจ้าย่อมอุบัติในยุคที่กัปป์เริ่มเสื่อม ไม่อุบัติในยุคที่กัปป์กำลังเจริญ แต่อรรถกถาของพระสูตรนี้ไม่ได้ให้รายละเอียดไว้ว่าพระเมตไตรย์ปัจจุบันอยู่ที่ไหน หรือได้กล่าวถึงดุสิตที่พระเมตไตรย์ประทับอยู่
ส่วนในคัมภีร์ชั้นหลัง เช่นคัมภีร์วิสุทธิมรรคบางฉบับ ได้กล่าวถึงการตั้งปณิธานของพระพุทธโฆสะไว้ว่า ท่านขอให้ได้ไปอุบัติในสมัยของพระเมตไตรย์สัมมาสัมพุทธเจ้า และได้บรรลุอรหัตผลในสมัยนั้น [3]
ส่วนคัมภีร์อื่นๆ เช่นคัมภีร์มาลัยสูตร กล่าวถึงพระอรหันต์มาลัยเทวะเถระ ซึ่งใช้อภิญญาลงไปนรกและขึ้นไปบนสวรรค์นำบาปบุญของสรรพสัตว์มาเล่าแก่ผู้คนในโลกมนุษย์ ก็กล่าวถึงพระเมตไตรย์โพธิสัตว์บนสวรรค์ชั้นดุสิต ได้แนะนำเรื่องการสร้างบุญสร้างกุศลเพื่อไปเกิดในสมัยที่พระเมตไตรย์ได้ตรัสรู้
เรื่องที่น่าแปลกก็คือ ทำไมทั้งในวิสุทธิมรรค หรือในคัมภีร์อื่นๆ ในฝ่ายเถรวาท จึงกล่าวถึงการไปเกิดในศาสนาของพระเมตไตรย์สัมมาสัมพุทธเจ้า คตินิยมแบบนี้เราจะไม่พบในคัมภีร์ชั้นพระไตรปิฎกหรืออรรถกถาถึงการตั้งปณิธานไปอุบัติในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หลังจากนี้ แต่เราจะพบเนื้อหาเหล่านี้โดยทั่วไปในคัมภีร์ฝ่ายมหายาน
โดยสรุป ในระดับชั้นพระไตรปิฎกและอรรถกถาฝ่ายบาลี พระเมตไตรย์สัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าในสมัยข้างหน้าที่ทรงถูกกล่าวถึงว่าจะได้ตรัสรู้และแสดงธรรมสั่งสอนเท่านั้น แต่ไม่มีคำอธิบายว่าเราควรจะทำอย่างไรหรือควรจะไปเกิดในสมัยของพระองค์ด้วยวิธีการอย่างไร ในขณะที่คัมภีร์รุ่นหลังได้กล่าวถึงเนื้อหาเหล่านี้เอาไว้
ส่วนในคัมภีร์ปฐมสมโพธิกถา ซึ่งเป็นพุทธประวัติฉบับพิสดารในฝ่ายเถรวาท ได้กล่าวถึงพระเมตไตรย์โพธิสัตว์ไว้แต่เพียงว่า พระเมตไตรย์ เกิดเป็นพระอชิตะภิกษุ โอรสของพระเจ้าอชาตศัตรู และได้ออกบวชในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่าพระอชิตะจะได้ตรัสรู้เป็นพระเมตไตรย์สัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต ซึ่งเรื่องนี้ไม่มีกล่าวถึงในคัมภีร์ชั้นต้นๆ ของฝ่ายเถรวาท สันนิษฐานว่า อาจเป็นไปได้ที่ผู้แต่งปฐมสมโพธิกถา คงอ้างอิงเนื้อหาจากพระสูตรฝ่ายมหายาน หรือจากคัมภีร์อื่นใด ตรงนี้ไม่อาจทราบได้ เพราะเรื่องของพระอชิตะเป็นโอรสของพระเจ้าอชาตศัตรู ก็ไม่ปรากฏชัดเจนในคัมภีร์ฝ่ายมหายาน
พระเมตไตรย์โพธิสัตว์ในฝ่ายมหายาน
พระเมตไตรย์โพธิสัตว์ถูกกล่าวถึงอยู่บ่อยครั้งในคัมภีร์เช่นพระสูตรมหายาน โดยระบุชัดเจนว่า พระเมตไตรย์โพธิสัตว์ มีอีกนามหนึ่งว่า พระอชิตะ และจะได้ตรัสรู้เป็นพระเมตไตรย์สัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต พระสูตรมหายานเช่น เมตไตรย์ตุสิตะอุปัตติสูตร หรือพระสูตรว่าด้วย พระเมตไตรย์อุบัติในสวรรค์ชั้นดุสิต ได้กล่าวถึงพระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่าพระอชิตะหลังจากผ่านไป ๑๒ ปี จะดับขันธ์และไปอุบัติในสวรรค์ชั้นดุสิต
นอกจากนั้น เรื่องของพระเมตไตรย์และแดนสวรรค์ชั้นดุสิต ยังถูกกล่าวถึงโดยพระภิกษุหรือบุคคลที่มีศรัทธาในฝ่ายมหายานอีกหลายท่าน ว่าขอไปอุบัติในดินแดนดุสิต เพื่อพบพระศรีอริยเมตไตรย์และเรียนพระธรรมจากท่าน เช่นพระอสังคะ พระวสุพันธุ พระถังซัมจั๋ง และบุคคลอีกมากมายที่มีชื่อเสียงในพระพุทธศาสนาในสมัยต่างๆ ก็ตั้งใจไปเกิดในดุสิต
นอกจากในฝ่ายมหายาน ในคัมภีร์ฝ่ายเถรวาทก็มีการกล่าวถึงบ้างเหมือนกันว่า พระเถระผู้แต่งปกรณ์ในฝ่ายเถรวาทบางท่านได้ไปเกิดในดุสิต เช่น พระพุทธทัตตะ ผู้แต่งคัมภีร์อภิธัมมาวตาระ ในวิสุทธิมรรคกล่าวถึงพระพุทธทัตตะว่า หลังจากท่านมรณภาพแล้วก็ได้ไปเกิดในดุสิตเช่นกัน
ในพระสูตรมหายาน เช่น ไมตรียะวยากรณะ ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสแก่พระสารีบุตร ได้ตรัสแสดงถึงยุคสมัยของพระเมตไตรย์สัมมาสัมพุทธเจ้าว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง และได้กล่าวถึงโลกธาตุของพระเมตไตรย์ว่า ในยุคสมัยของพระเมตไตรย์สัมมาสัมพุทธเจ้า โลกธาตุมีนามว่า เกตุมติ (Ketumati) (ซึ่งเป็นชื่อเดียวกับ เกตุมดี อาณาจักรของพระเจ้าสังขะ ในพระสูตรเถรวาท)
และในความเชื่อของฝ่ายมหายาน ถือว่า ดุสิตที่ประทับของพระเมตไตรย์โพธิสัตว์นั้น เป็นดุสิตที่ต่างจากสวรรค์ชั้นดุสิตปกติ โดยที่ประทับของพระเมตไตรย์โพธิสัตว์ เรียกว่า ดุสิตชั้นใน หรือ ดุสิตรโหฐาน ส่วนดุสิตชั้นนอกเป็นที่อยู่อาศัยของเทวดาทั่วไป ถือกันว่า ดุสิตชั้นใน เป็นพุทธเกษตรที่จะไม่มีวันถูกทำลายจากการทำลายของกัปป์ แม้สวรรค์ชั้นอื่นๆ จะถูกทำลายจนหมดด้วยไฟบรรลัยกัลป์ในยุคสิ้นกัปป์ก็ตาม จนกว่าพระโพธิสัตว์ผู้เป็นประธานของดุสิตจะได้ลงมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้ายังโลกมนุษย์
นั่นหมายความว่า ผู้ใดที่ได้ไปเกิดในดุสิต จะได้อยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิตจนกว่าพระเมตไตรย์จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า มีอายุที่ไม่มีจำกัดเหมือนอย่างเทวดาบนสวรรค์ทั่วไป ในพจนานุกรมพุทธศาสนาของนิกายนิจิเรนกล่าวว่า ความเชื่อและทัศนะเรื่องการไปเกิดในดุสิตพุทธเกษตร เริ่มเกิดขึ้นและเป็นที่นิยม ในประเทศจีนตั้งแต่ในศตวรรษที่ ๕ (คศ.๕๐๐) และในญี่ปุ่น ตั้งแต่ในศตวรรษที่ ๗ (คศ.๗๐๐) ซึ่งน่าจะเป็นความเชื่อที่สืบเนื่องจากการถ่ายทอดคำสอนของนิกายโยคาจารตั้งแต่ยุคพระอสังคะเป็นต้นมา
โดยสรุปก็คือ ความเชื่อและความศรัทธา ในเรื่องพระเมตไตรย์สัมมาสัมพุทธเจ้าและการเกิดในสมัยของพระเมตไตรย์ ทั้งฝ่ายเถรวาทและฝ่ายมหายาน ถือตรงกันว่า พระเมตไตรย์ยังคงอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต และรอที่จะตรัสรู้ในสมัยหน้า
อย่างไรก็ตาม ในฝ่ายเถรวาท โดยเฉพาะในยุคหลัง มองพระเมตไตรย์ในฐานะเทวดาที่เป็นพระโพธิสัตว์ที่รอคอยการตรัสรู้แบบปกติทั่วไป ไม่ได้ถวายความเคารพเป็นพิเศษ อย่างเช่นในประวัติพระถังซัมจั๋งกล่าวว่า พระภิกษุรูปหนึ่งในฝ่ายมหายาน ได้พาพระภิกษุฝ่ายสาวกยานรูปหนึ่งขึ้นสวรรค์ไปพบพระเมตไตรย์โพธิสัตว์บนดุสิต พระภิกษุฝ่ายมหายานได้ทูลถามถึงข้อธรรมประการต่างๆ ส่วนพระภิกษุฝ่ายสาวกยานกลับไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก เพราะมองว่าเป็นเพียงเทพบุตร ไม่ต่างจากฆราวาสทั่วไป ไม่ได้มองว่าท่านเป็นพระโพธิสัตว์ที่ได้บรรลุภูมิธรรมแล้ว อย่างไรก็ตาม ในคัมภีร์รุ่นหลัง ก็ให้ความสำคัญกับพระเมตไตรย์ในฐานะที่ท่านจะได้มาตรัสรู้ในอนาคต และบรรยายถึงโลกธาตุหรือยุคสมัยของพระเมตไตรย์ว่ามีความงดงาม มีความสุขอย่างมากเป็นพิเศษและน่าที่จะไปเกิดในยุคสมัยนั้น ดังเช่นที่กล่าวถึงในคัมภีร์พระมาลัย
ในขณะที่ฝ่ายมหายาน มีทั้งสองมุมมอง คือการไปเกิดในดุสิตเพื่อจะได้ฟังธรรมจากพระเมตไตรย์โพธิสัตว์ตั้งแต่ในเวลานี้ และรอคอยเวลาที่พระองค์จะได้ลงมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า และการให้ความสำคัญต่อพระเมตไตรย์ ฝ่ายมหายานถือว่าแม้ท่านจะยังไม่ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า แต่ก็มีภูมิธรรมสูงมากไม่ต่างจากพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ทั้งหลาย ทั้งยังได้อุบัติและออกบวชในยุคสมัยของพระศากยมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนั้นการให้ความเคารพต่อพระเมตไตรย์โพธิสัตว์ จึงเสมอเหมือนกับเหล่าพระมหาสาวกหรือพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ทั้งหลาย ไม่ใช่ในฐานะของเทวดาบนสวรรค์โดยปกติธรรมดานั่นเอง
เขียนโดย โชโฮ ธรรมราชบุตร
หมายเหตุ: บทความนี้เผยเเพร่ในวารสารมานุษยวิทยาศาสนา ปีที่ 7 ฉบับที่ 1 (2568)
......................................
อ้างอิง
[1] จักกวัตติสูตร ที.ปา. ๘๐/๑๑ สืบค้นจากพระไตรปิฎกออนไลน์ 84000.org
[2] จักกวัตติสูตร ที.ปา. ๑๐๘/ ๑๑ สืบค้นจากพระไตรปิฎกออนไลน์ 84000.org
[3] สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถร) แปล. คัมภีร์วิสุทธิมรรค. หน้าที่ [๑๗], ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๑๐ , ๒๕๔๔
[4] พระสูตรมหายาน ว่าด้วยพระเมตไตรย์อุบัติในแดนสวรรค์ชั้นดุสิต The Sūtra on Maitreya’s Birth in the Heaven of Joy สืบค้นจาก https://84000.co/translation/toh199
