วันมาฆบูชา นอกจากพระสงฆ์สมัยพุทธกาลจะมาประชุมกัน 1,250 รูป และพุทธะพูดถึงหลักการศาสนาบางอย่างแล้ว วันนี้ยังเป็นวันที่พุทธะตัดสินใจว่าจะตายในอีก 3 เดือน คือจะไปตายวันวิสาขบูชาแบบที่เรารับรู้กันอยู่แล้ว ผมอยากชวนคุยประเด็นเรื่องการตัดสินใจตายของท่าน และบังเอิญไปเกี่ยวข้องกับหลวงตาบัว ซึ่งพอจะเห็นความเชื่อมโยงบางอย่างในการตีความ/สอนธรรมะของนักบวชในศาสนาพุทธได้
1. เรื่องของพุทธะ
พุทธะเลือกวันตายได้ แน่นอนว่าเรากำลังพูดอยู่บนคัมภีร์ ซึ่งมาจากเรื่องเล่า (มุขปาฐะ) ที่ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ได้อยู่แล้ว ท่านเทศน์สอนว่า “คนที่ทำตามหลักอิทธิบาทสี่ จะอยู่ได้นานเป็นกัปหรือมากกว่านั้นก็ได้” มีข้อถกเถียงว่ากัปคืออะไรเเน่ เช่น ชั่วระยะเวลาที่โลกยังไม่ถูกทำลายล้าง หรือที่ทันสมัยหน่อยก็จะตีความว่า เท่ากับอายุที่ของคนในยุคนั้น ซึ่งตั้งไว้ราว 120 ปี แต่ประเด็นที่น่าสนใจคือ พุทธะอยู่ไม่ถึงและรีบตายไปก่อนตั้งแต่อายุ 80 ปี
ในมหาปรินิพพานสูตร (ตั้งแต่ข้อ 94 เป็นต้นไป) พระอานนท์ถามเรื่องแผ่นดินไหว พุทธะได้อธิบายว่า เเผ่นดินไหวเกิดจากหลายสาเหตุ หนึ่งในนั้นคือ เพราะพุทธะตัดสินใจว่าจะตาย (ปลงพระชนมายุสังขาร) อานนท์เลยขอว่าให้อยู่ต่อ แต่ไม่ทันแล้ว เพราะพุทธะรับคำขอของ “มาร” ไปก่อนแล้ว ชาวพุทธเลยมาตั้งคำถามกันว่า ถ้าพระอานนท์ขอทัน พระพุทธเจ้าจะได้อยู่หนึ่งกัป (คืออาจเป็น 120 ปี หรือแม้ปัจจุบัน ปี 2566ท่านก็อาจจะยังไม่ตาย)
ในข้อที่ 102 พุทธะพูดว่า “ดูกรอานนท์ เพราะฉะนั้น เรื่องนี้เป็นความผิดพลาดของเธอผู้เดียว เพราะว่าเมื่อตถาคตทำนิมิตอันหยาบ ทำโอภาสอันหยาบอย่างนี้ เธอมิอาจรู้ทัน จึงมิได้วิงวอนตถาคต ถ้าเธอวิงวอนตถาคต ตถาคตจะพึงห้ามวาจาเธอเสียสองครั้งเท่านั้น ครั้นครั้งที่สาม ตถาคตพึงรับ เพราะฉะนั้นแหละ อานนท์เรื่องนี้จึงเป็นความผิดพลาดของเธอผู้เดียว ฯ” พูดอีกแบบคือ ที่ตนต้องตาย เพราะอานนท์ไม่ขอให้อยู่หรอ? เราอาจสงสัยว่า คนที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น ทำไมไม่มีอำนาจที่จะตัดสินใจอยู่หรือตายด้วยตัวเอง ต้องให้คนมานิมนต์และรับ/ปฏิเสธเอาเสมอหรือ?
แต่ชาวพุทธมีคำอธิบายอันนี้ ว่าพุทธะมีอำนาจในการตัดสินใจ คนที่มาขอให้พระพุทธเจ้าตายหลายครั้งแล้วคือ “มาร” ซึ่งก็ไม่ทราบอีกว่ามารคืออะไร/ใคร แต่พุทธะพยายามยื้อเวลาตลอด เขามาขอตั้งแต่เพิ่งตรัสรู้ ท่านก็ตอบไปว่า “จะไม่ตายตราบที่ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกายังไม่เป็นผู้ฉลาดในธรรมที่ท่านสอน ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และสามารถแสดงธรรมโต้เเย้ง/ตอบคำถามของผู้อื่นได้” จนเมื่ออายุจะครบ 80 มารได้มาขออีกรอบว่า “ก็ตอนนี้สาวกของท่านเก่งแล้ว ศาสนาตั้งมั่นแล้ว งั้นก็ตายได้แล้วสิ” ท่านก็ตอบไปว่า “จะตายในอีก 3 เดือนนี่แหละ” สรุปคือพุทธะเลือกการตายได้ คือเลือกที่จะทำตามคำขอของมาร ก็อานนท์ไม่ยอมขอก่อนนิ
เราอาจจินตนาการภาพพุทธะเป็นคนแก่ไม่ออก เพราะเรามักเห็นแต่รูปที่ท่านยังหนุ่ม แบบเดียวกับที่มักเห็นรูปในหลวง ร.9 เป็นหนุ่ม (อาจมาจากแนวคิดเรื่อง ผู้วิเศษ/เทวดา ที่ไม่เเก่) ผมเองบวชเรียนมาตั้งแต่เป็นเณร จินตนาการตลอดว่าพุทธะเป็นคนศักดิ์สิทธิ์แข็งแรง จนพระอนิลมาน ศักยะ (วัดบวรนิเวศฯ) พูดในห้องเรียนว่า “ให้เรานึกภาพพระหลวงตา 2 รูปที่อายุ 80 เดินกันไปตามคันนาเพื่อจะไปปรินิพพานอีกเมือง” อันนั้นสลายภาพความศักดิ์สิทธิ์ในหัวผมไปเลย และเห็นว่า เออ .. คนเเก่เขาควรตายอย่างสงบจริงๆ
2. เรื่องของหลวงตาบัว
หลวงตาบัวเป็นคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในการทำให้คนไทยเชื่อว่า “พระอรหันต์มีอยู่จริง” และคนที่ได้รับการรับรองก็เป็นคนในวงศ์/สายพระป่ากรรมฐาน ซึ่งถูกเขียนเล่าโดยท่านเอง พูดง่ายๆ คือ เราแทบไม่รู้จักหลวงปู่มั่น จินตนาการที่พอนึกออก แนวทางปฏิบัติ และคำสอนก็มาจากการบอกเล่าของหลวงตาบัวเป็นหลัก พูดอีกทีคือ ในทาง perception หลวงปู่มั่นถูกสร้างโดยหลวงตาบัวผ่านหนังสือและคำเทศนา
เพราะพระเณรได้เรียนเรื่องพุทธประวัติแบบที่เล่ามาข้างบน บางคนในสายพระป่าจึงตั้งใจว่า เราต้องไม่เสียทีให้มาร ต้องนิมนต์ให้หลวงตาบัวอยู่หนึ่งกัปให้ได้ และในวันที่ 29 กรกฎาคม 2548 ขณะที่คณะสงฆ์วัดโพธิสมภรณ์ ฯลฯ เข้าคารวะหลวงตา มีพระหนุ่มรูปหนึ่งถือพานไปถวายแล้วขอให้ท่านอยู่ให้นาน
พระหนุ่ม: ขอกราบอาราธนานิมนต์หลวงตาคุมธาตุขันธ์ตลอดหนึ่งกัปนี้ครับ เพื่อประโยชน์แก่ชาวโลกด้วยครับ
หลวงตาบัวจับพานโยนทิ้ง แล้วไล่พระรูปนั้นไป: อย่ามาขวางโลก .. อยู่เป็นกัปเป็นกัลป์ ใครจะอยู่ได้ จะอยู่หาประโยชน์อะไร .. นี่คำพูดขวางธรรมเข้าใจไหม ธรรมะของพระพุทธเจ้าท่านว่า อนิจจา วต สงฺขารา .. ที่เกิดที่ตายอยู่เวลานี้ก็มี ที่กำลังจะตายก็มี เราก็จะตายเช่นนั้นเหมือนกัน .. ธรรมพระพุทธเจ้าสอนว่า ระงับดับความเกิดได้ ด้วยการแก้ไขกิเลสอวิชชา
การขอให้อยู่ต่อครบหนึ่งกัป ในทัศนะของหลวงตาบัวคือการขวางโลก/ขวางธรรม งั้นก็ขัดกับสิ่งที่พุทธะสอนสิ ก็ไหนบอกว่า ถ้าบำเพ็ญอิทธิบาทสี่จะอยู่ได้นานจริง และเชื่อกันโดยพื้นฐานว่า คนที่เป็นอรหันต์เขาเต็มพร้อมด้วยอิทธิบาทสี่อยู่แล้ว แต่หลวงตาไม่ตอบว่า “ได้รับนิมนต์มารไว้ก่อนแล้ว” เพียงแต่ยกธรรมะอีกแบบหนึ่งมาพูด คือ ร่างกายคนมันเเก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดา จะไปฝืนมันทำไม
หลวงตาบัวก็พูดเรื่องปาฏิหาริย์หลายอย่าง เช่น เทวดาปลอมตัวมาใส่บาตร (อ่านเรื่องลึกลับเช่นนี้ในหนังสือ ปฏิปทาของพระธุดงค์กรรมฐานสายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต 2551) เรื่องนี้ก็ไม่มีการพิสูจน์กันอย่างเป็นรูปธรรม เช่น ทดลองไม่ต้องอยู่ในบริเวณชุมชน เป็นที่ที่ไกลจากหมู่บ้าน และไม่ต้องออกไปบิณฑบาตที่บ้านเขา ดูว่าจะมีอาหารทิพย์มาอยู่เต็มบาตรทุกวันจริงไหม สุดท้ายมันเป็นประสบการณ์ส่วนตัว และไม่ต้องพิสูจน์ให้ใครเห็นด้วย
ซึ่งคล้ายกับพุทธะ ก็อ้างเรื่องพระอินทร์มาถวายบาตร พระพรหมมานิมนต์ให้ไปสอนธรรมะ ซึ่งเป็นประสบการณ์ส่วนตัว ขณะที่การมีชีวิตอยู่ได้ 120 ปีเป็นการพิสูจน์ว่าธรรมะที่ตัวเองสอนจะเป็นจริงไหมก็ไม่พิสูจน์ ในเรื่องปาฏิหาริย์ ทั้งศาสดาและสาวกมักกล่าวสอนแต่จะไม่ทำให้ดู และพวกเขาก็มีทางออกอื่นคือเอาธรรมะอีกแบบมาสอนแทน เช่น ร่างกายนี้ไม่เที่ยง เกิดแล้วก็ต้องดับไป หรือที่ต้องตายเพราะรับคำของมารไว้แล้ว เพราะอานนท์ไม่ยอมขอให้อยู่ต่อตั้งแต่ต้น ฯลฯ
การโยนพานของหลวงตามหาบัวถูกโจมตีว่า “เป็นอรหันต์แต่ยังขี้โกรธ น่าจะอรหันต์ปลอม” แต่ผมมองว่า หลวงตาบัวฉลาดมาก เราไม่ทราบว่านั่นคือการจัดฉากไหม แต่มันดีตรงที่หลวงตาบัวได้อธิบายว่า เหตุใดท่านจึงตายก่อนอายุ 120 ปี ไม่ใช่เพราะท่านไม่เป็นพระอรหันต์หรือไม่มีอิทธิบาท เเต่เพราะท่านตัดสินใจ/เลือกที่จะตายเอง เพื่อจะได้ไม่เป็นที่ครหา/ตั้งคำถามในภายหลัง
เรื่องการด่าพระหนุ่มและโยนพานทิ้ง สำหรับพระป่าด้วยกัน มันไม่ได้ทำลายภาพลักษณ์ของพระอรหันต์ พระป่าแม้พูดหยาบแต่ก็เชื่อว่าทำด้วยจิตบริสุทธิ์ มีความเมตตาอยู่เสมอ ท่านบอกให้ลงไปก็ไม่ลง อาการดื้อไม่ฟังเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ในหมู่พระป่า (รวมทั้งในวงการสงฆ์ทั่วไป) อาจมองได้ว่า ท่านไม่ฟาดใส่หน้าผากก็ดีแล้ว ให้อภัยกันได้ และตักเตือนว่าอย่าดื้อด้านแบบนี้ ในมุมของสาวก นี่คือการสอนแบบพ่อแม่สอนลูกจริงๆ
ต่อให้เชื่อว่า ทำตามอิทธิบาทสี่แล้วจะยืดอายุให้นานเรื่องจริงตามหลักการศาสนาพุทธ แต่ก็ต้องขอถึงสามครั้ง ใครจะไปฝืนใจพุทธเจ้าถึงสามครั้ง คงต้องรู้สึกบาปตายแน่ (พูดเล่นครับ) มันคือการไม่เคารพครู ตรงกับเรื่องหลวงตาบัว เหตุผลที่พระรูปนั้นไม่ยอมขอครั้งที่สองและสามเพราะมันทำยากในการฝืนคำครูอาจารย์ สรุปคือ ทำไม่ได้ในทางปฏิบัติอยู่ดี แม้แต่การขอ
ยังไม่มีการพิสูจน์ว่าการบำเพ็ญอิทธิบาทสี่จะได้ผลจริงไหม เพราะจนปัจจุบันก็ยังไม่มีคนทำได้ ทั้งที่ศาสนาควรต้องพิสูจน์คำสอนตัวเอง แต่ศาสนามีวิธีหลบเสมอ คือถ้าปฏิบัติจนอยู่ได้ 120 ปีจริง ก็เท่ากับธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นจริง ถ้าตายก่อนก็ถือว่าเพราะต้องเป็นไปตามกรรม เช่นพระโมคคัลลานะถูกทุบตาย และอาจเอาธรรมะมาอธิบายว่า “นี่ไง พระพุทธเจ้าสอนไว้เเล้วว่าร่างกายไม่เที่ยง มีเกิดก็มีดับ” สรุปคือ ศาสนาพูดอะไรก็ถูกไปหมด ซึ่งการพูดยิ่งพูดยิ่งถูก หมายความว่า “ไม่รู้จะพูดทำไม และไม่ต้องรับผิดชอบ/พิสูจน์อะไร” ให้เรื่องเกิดขึ้นก่อน แล้วเลือกหยิบธรรมะมาอธิบาย เหมือนหวยออกแล้วตีความเลขที่ฝันได้ถูกทุกตัว
เจษฎา บัวบาล (มาฆบูชา 6 มี.ค. 2566)
อ้างอิง
คลิป คณะวัดโพธิสมภรณ์ฯลฯ กราบคารวะทำวัตร 29-07-2548
เข้าถึงได้จาก https://www.youtube.com/watch?v=XB8wwKfpU0o&t=0s
พระธรรมวิสุทธิมงคล. (2551). ปฏิปทาของพระธุดงค์กรรมฐานสายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์สุภา.
มหาปรินิพพานสูตร ข้อ 94
https://84000.org/tipitaka/book/v.php?B=10&A=1888&Z=3915...
ขอบคุณภาพจากเพจ กูkult