ผมตั้งใจเขียนบทความสั้นๆ เป็นซีรีส์นี่ไว้สัก 108 ตอน เพื่อบันทึกสิ่งที่ได้พบเจอในโลกของศาสนาราว 2 ทศวรรษ (ตั้งแต่ปี 2543 ซึ่งเป็นปีที่ได้เข้าไปบวชเณร จนถึงปี 2566 ซึ่งแม้ผมจะถอดผ้าเหลืองออกไปจากวัดตั้งแต่ปี 2561 แต่ก็ยังคลุกคลีกับเพื่อนจำนวนหนึ่งที่เป็นพระเณร และยังทำวิจัยประเด็นศาสนา) เรื่องที่เขียนต่อไปนี้เป็นศาสนามุมหนึ่งที่ผมได้เห็น เป็นการบันทึกเท่าที่จำได้เเละสนใจจะบอกกล่าว ไม่มีการแต่งอะไรเข้าไปเพิ่ม มีเพียงการใช้ชื่ออื่นๆ แทนชื่อคน/วัดบางกรณีเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของเขา
ตอนที่ 1 ตาหลวงจอก พระติดหวยและรักหมาแมว
ตาหลวงจอกบวชราวปี 2539 ที่วัดไส้กา จังหวัดตรัง ซึ่งเป็นวัดที่ผมมาบวชเณรภาคฤดูร้อน ผมบวชช่วงเมษายนปี 2543 ซึ่งหลวงจอกอยู่มาได้แล้วราว 4 พรรษา หลวงจอกอายุราว 50 ปี เป็นคนจังหวัดตรัง รูปร่างอวบ เดินช้าๆ และมีภาพของพระที่สำรวม ถ้าจำไม่ผิด หลวงจอกอยู่วัดนี้มาก่อนเจ้าอาวาสคนปัจจุบันด้วย
เจ้าอาวาสคนเดิมชื่อ สวาสดิ์ และน่าจะสึกออกไป จนมีหลวงพ่อรงค์ ย้ายมาเป็นเจ้าอาวาสแทนช่วงปี 2540 และหลวงพ่อรงค์ก็เพิ่งได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์ในปี 2543 จำได้ว่า ตอนที่ผมบวชเณร พร้อมกับเพื่อนๆ อีก 11 คน ในโบสถ์มีการเอา “ตราตั้งพระอุปัชฌาย์” ไปวางไว้ด้วย ใบอนุญาตให้ทำการบวชได้จากคณะผู้ปกครองสงฆ์จากกรุงเทพฯ ดูจะสำคัญมาก
ตาหลวงจอกเขียนอ่านไม่ได้ แกจึงหัดสวดมนต์ด้วยการเปิดเทปฟัง การบวชมาหลายปีทำให้แกสวดให้พรพื้นฐานได้ บทสวดศพทั้ง 7 ดูจะไม่คล่องมาก แต่พอสวดไปได้เมื่อต้องสวดกับพระอื่นอีก 3 รูป จากประสบการณ์ ผมนั่งใกล้หลวงจอกบ่อยในงานสวด สังเกตว่า 3-4 บทแรก แกดูจะมั่นใจ และลดเสียงลงในบทท้ายๆ แต่สิ่งที่แกเป็นไม่ได้คือ หัวหน้านำสวด อาจเพราะไม่มั่นใจว่าขึ้นหัวข้อได้ถูกตามลำดับไหม
นอกจากกุฏิเจ้าอาวาส ห้องตาหลวงจอกน่าจะเป็นอีกที่ที่มีทีวี พระเณรมักไปรวมกลุ่มกันที่ห้องแก โดยเฉพาะวันที่มีมวย และจะมีเสียงเชียร์ โห่ร้องดังๆ มาจากกุฏินั้นด้วย แต่เจ้าอาวาสก็ไม่ว่าอะไร ผมได้ดูหนังเรื่อง ไททานิค ครั้งแรกก็ห้องตาหลวงนี่แหละ กุฏิของเเกก็ออกแบบได้สวยมาก เมื่อเปิดประตูเข้าไป จะต้องเดินข้ามสะพานเล็กๆ ไปบริเวณห้องรับแขกที่ใช้ดูทีวี ใต้สะพานนั้นก็เป็นสระน้ำลึกประมาณเข่า เลี้ยงปลาเเรดตัวใหญ่มากๆ แน่นอนคับ เป็นการเลี้ยงเพื่อความสวยงามเท่านั้น
ตาหลวงจอกชอบซื้อหวย และช่วงหลังมาติดหวยถึงขั้นมีคนมาทวงหนี้ที่วัด ช่วงบ่ายแกมักจะหนีไปนอนตามทุ่งนาหลังวัด เป็นกระท่อมที่พักของคนเลี้ยงวัว พวกเราที่เป็นเณรเล็กๆ ก็ไม่รู้เรื่องอะไรมาก เวลามีคนมาถามหาแก ก็จะบอกไปว่าแกนอนอยู่ที่กระท่อมหลังวัด จนตาหลวงมาบอกว่า “เขามาทวงหนี้ ต่อไปอย่าบอกนะว่าตาหลวงอยู่ที่นั่น”
ตาหลวงเป็นพระบ้านๆ ที่บวชมาอยู่แบบบ้านๆ จริงๆ นักธรรมก็ไม่ต้องเรียนเพราะอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ กิจวัตรแต่ละวันคือทำวัตรสวดมนต์ บิณฑบาต กวาดขยะ รับงานนิมนต์ ตาหลวงมีปืนลูกซองด้วย ช่วปลายปี 43 ที่น้ำท่วมหาดใหญ่ เจ้าอาวาสซึ่งเป็นคนควนลังได้พาพวกเรานั่งรถตู้ของวัดไปเยี่ยมบ้านท่าน พระเณรไปกันทั้งหมด เหลือตาหลวงจอกคนเดียวที่อาสาเฝ้าวัดให้ จำได้ว่า เมื่อพวกเรากลับมา ลงจากรถ ผมเห็นตาหลวงแบกปืนลูกซองเดินกลับกุฏิ ท่านทำหน้าที่เฝ้าวัดได้ดีมากจริงๆ นี่แหละที่ผมมองว่า ท่านเป็นพระแบบบ้านๆ อยู่กับพุทธศาสนาแบบบ้านๆ
ราวปี 2544 มีพระกัมพูชาชื่อ วรรณา มาขออยู่ที่วัดด้วย ท่านทำตะกรุดจำนวนมากให้เจ้าอาวาสไว้แจกญาติโยมด้วย เท่าที่ทราบ หลวงพี่วรรณาน่าจะเป็นพระกัมพูชาคนแรกที่มาอยู่จังหวัดตรัง ท่านอยู่แค่ 2 ปีก็ย้ายไปที่อื่น เหตุของการย้ายเพราะท่านถูกงัดกุญแจห้อง มีคนเข้าไปทำลายข้าวของ แต่ก็ไม่ได้ขโมยอะไร เป็นเพราะความโกรธกันล้วนๆ ซึ่งก็หาตัวคนทำไม่ได้ พระเณรในวัดสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นตาหลวงจอก เพราะเป็นช่วงเวลาที่เณรคนอื่นๆ ต้องไปเรียนหนังสือ และพระรูปอื่นก็ไม่มีปัญหาอะไรกับหลวงพี่วรรณา
หลวงพี่วรรณาเล่าว่า ก่อนหน้านั้นตาหลวงจอกมานั่งคุยด้วย และเมื่อเริ่มเย็น ท่านบอกให้ตาหลวงจอกกลับกุฏิไป เพราะอยากมีเวลาส่วนตัวออกกำลังกายในห้อง พระรูปอื่นๆ เลยสันนิษฐานกันว่า ตาหลวงจอกน่าจะโกรธเพราะทำแบบนั้นเหมือนไล่แก แต่ก็ไม่มีการสอบถาม/สืบสวนอะไรจากเจ้าอาวาส สุดท้ายหลวงพี่วรรณาก็ขอย้ายออกไปเอง และหลังจากนั้นราวหนึ่งปี ก็มีพระกัมพูชาอีกรูปมาขออยู่ที่นี่ และบอกว่าได้ที่อยู่ของวัดนี้จากท่านวรรณา พวกเราเรียกพระรูปนี้กันว่า “เดอะบอง” ท่านบอกว่า แปลว่า “พระ” ช่วงหลังก็มีพระกัมพูชามาอยู่มากขึ้น
ทุกครั้งที่ฉันอาหารเสร็จ ตาหลวงจอกจะตักอาหาร ปลา เนื้อ มาให้หมากับแมวซึ่งมีจำนวนเยอะมาก ในวัดมีพระที่ทำแบบนี้กัน 2 รูป อีกรูปคือ หลวงเรือง (ปัจจุบันไปเป็นเจ้าอาวาสอีกวัด) ตาหลวงจอกสึกราวปี 2545 ผมจำเหตุผลที่เเกสึกไม่ได้ แต่แกไม่ได้ทำเรื่องให้เสียชื่อเสียงหรือถูกไล่ออก เป็นการขอสึกไปเอง เดาเอาว่าน่าจะลำบากใจกับการที่มีคนมาทวงหนี้บ่อยๆ ในวัด
เจษฎา บัวบาล
13 กันยายน 2566