Journal of Religious Anthropology

ตาหลวงซีรีย์ ตอนที่ 2 เณรโขงผู้สึกไปกับเสก โลโซ

ผมตั้งใจเขียนบทความสั้นๆ เป็นซีรี่นี่ไว้สัก 108 ตอน เพื่อบันทึกสิ่งที่ได้พบเจอในโลกของศาสนาราว 2 ทศวรรษ (ตั้งแต่ปี 2543 ซึ่งเป็นปีที่ได้เข้าไปบวชเณร จนถึงปี 2566 ซึ่งแม้ผมจะถอดผ้าเหลืองออกไปจากวัดตั้งแต่ปี 2561 แต่ก็ยังคลุกคลีกับเพื่อนจำนวนหนึ่งที่เป็นพระเณร และยังทำวิจัยประเด็นศาสนา) เรื่องที่เขียนต่อไปนี้เป็นศาสนามุมหนึ่งที่ผมได้เห็น เป็นการบันทึกเท่าที่จำได้เเละสนใจจะบอกกล่าว ไม่มีการแต่งอะไรเข้าไปเพิ่ม มีเพียงการใช้ชื่ออื่นๆ แทนชื่อคน/วัดบางกรณีเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของเขา

.....................................


ตอนที่ 2 เณรโขงผู้สึกไปกับเสก โลโซ

เณรโขงไม่ได้สึกไปอยู่วงดนตรีกับเสกนะครับ แต่เพราะมีวงดนตรีของเสกมาเล่นในงานฉลองรัฐธรรมนูญ (ชาวบ้านเรียก งานหลองรัฐ หรือ งานเหลิม) ที่สนามกีฬาทุ่งเเจ้ง จ.ตรัง เเละเณรโขงได้เปลี่ยนเสื้อผ้าออกไปดูคอนเสริต เมื่อถูกจับได้ก็ต้องสึกออกไป และคนในวัดจะเรียกเหตุการณ์แบบนั้นว่า “เณรโขงไปกับเสก โลโซ” “เณร ก.ไปกับเอกชัย(ศรีวิชัย)” “เณร ข.ไปกับดวงจันทร์ สุวรรณี”


เณรโขงเเก่กว่าผม 1 ปี เขาเพิ่งย้ายมาอยู่วัดไส้กาตอน ม.2 แล้ว เป็นลูกคนจีนในตลาด ผิวขาว ตัวสูงมาก เราเรียนโรงเรียนเดียวกัน โรงเรียนของพระเณรเรียกว่า “โรงเรียนปริยัติธรรม” บางที่มีแผนกนักธรรม / บาลี และบางที่เช่นที่ผมเรียนมีแผนกสามัญศึกษาด้วย คือ


09.30-11.00 น. เป็นการเรียนภาษาบาลี 

13.00–19.00 น. เรียนสายสามัญเหมือนเด็กมัธยมทั่วไป และ 

19.30-21.00 น. เรียนวิชานักธรรม


เราต้องเข้าเเถวก่อนเข้าชั้นเรียนด้วย ไม่มีการเคารพธรงชาติ แต่เป็นการฟังโอวาทจากพระอาจารย์และสวดมนต์สั้นๆ แน่นอนคับ ก็มักจะมีเณรเป็นลมอยู่เรื่อยเพราะยืนตากแดด อาจารย์พัฒน์เคยพูดเเซวว่า “ขนาดเป็นวันจันทร์ พระเณรดูไม่ฮึกเหิม ไม่พร้อมที่จะเรียนเลย เอางี้ดีไหม เราไปจ้างเด็กผู้หญิงโรงเรียนสภาราชินี 2 (ซึ่งอยู่ใกล้กัน) มายืนกั้นระหว่างเเถว เผื่อช่วยให้พระเณรสดชื่นขึ้นมาบ้าง” มันเป็นแนวคิดที่ดีมากคับ เสียดายไม่เคยเกิดขึ้นจริง 


ดูเผินๆ เหมือนจะเรียนหนักมาก แต่การเรียนค่อนข้างเป็นไปแบบสบายๆ และมักเลิกให้ก่อนเวลา ที่เน้นจริงๆ ก็คือสายสามัญ ส่วนนักธรรมกับบาลีก็แล้วแต่นักเรียนจะไขว่คว้าเอา โดยเฉพาะคนที่สอบผ่านบาลีมีน้อยมาก ราว 2% เท่านั้น ที่ต้องเน้นสายสามัญเพราะต้องยอมรับว่า พระเณรอายุน้อยที่บวชมาอยู่ได้นานจำนวนมากต้องการเข้าถึงการศึกษา (แบบทางโลก) และวัดเหล่านี้ก็ช่วยเขาได้ แน่นอนว่าพวกเราเกือบทั้งหมดมาจากครอบครัวยากจน และจำนวนนักเรียนราว 90 ก็จะสึกออกไปเมื่อเรียนจบ .. รวมทั้งผมด้วย


เณรโขงเรียนอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง ตอนนั้นเราน่าจะเรียนนักธรรมชั้นโทห้องเดียวกัน เเกมีหนังสือนักธรรมสมบูรณ์มาก นอกจากฉบับของกรมการศาสนา แกยังมีฉลับสรุปและเเนวข้อสอบของเลี่ยงเชียงด้วย น่าจะเอามาจากวัดเดิม เณรโขงเป็นคนใจดี ไม่เเกล้งรุ่นน้องแบบเณรคนอื่นๆ แกมีแฟนในช่วง ม.3 (แน่นอนครับ เณรมีแฟนเป็นเรื่องธรรมดาที่คนใกล้วัดมักจะรู้ด้วย และพวกเขาก็ยังใส่บาตร เคารพนับถือเหมือนเดิมตราบที่ไม่จับได้ว่าแอบเอากัน) และตั้งแต่นั้นมาการเรียนแกดูจะเเย่ลง แต่ก็ยังรับผิดชอบเรื่องงานการบิณฑบาตและงานการในวัดได้ดี


เณรโขงใส่กางเกงด้วย (พระเณรที่เรียนหนังสือจำนวนมากใส่ กกน.) ความน่าสนใจคือ วิธีการหาซื้อ กกน. ของเเต่ละคนแตกต่างกัน รุ่นหลังๆ มานี้สั่งซื้อออนไลน์ได้สะดวก เมื่อก่อนอาจต้องขอให้ลุงวินมอเตอร์ไซด์ (ซึ่งมักประจำอยู่ทุกวัดและสนิทกันมากๆ) ไปซื้อให้ กรณีของเณรโขง แกไปซื้อในตลาดด้วยตัวเองเลย เมื่อพวกเราสอบถามก็ตอบมาว่า “ผมเดินตรงไปที่ร้าน กกน.เลย ซื้อครึ่งโหล ก็ไม่เห็นว่าแม่ค้าจะถามอะไร วันหนึ่งๆ ไม่รู้แกจะมีลูกค้าสักกี่คน แกไม่เรื่องมากและคงไม่สอบถามเหตุผลหรอก แล้วก็ไม่ถามจริงๆ” เณรบางคนบอกว่า “มาซื้อเพราะหมอแนะนำเกรงจะเป็นไส้เลื่อน” บางคนบอกว่า “จะสึกพรุ่งนี้ เลยมาหาซื้อผ้าไว้”

 

คืนหนึ่งกลางเดือนธันวาคม ปี 2545 เณรโขงหายไปจากวัด และเณรบูซึ่งเป็นรุ่นพี่ ม.6 บอกพระมหาวรเดช (เป็นเหมือนพระฝ่ายปกครอง) ว่า “เณรโขงเปลี่ยนเสื้อผ้าไปดู เสก โลโซ” ซึ่งคงไปกับแฟนของเขา หลายคนในวัดทราบเรื่องนี้ดี แต่ไม่มีใครพูดอะไร เณรบูจึงถูกเณรคนอื่นๆ มองว่าเป็นคนปากมากขี้ฟ้อง ตอนเเรกเจ้าอาวาสไม่ได้ซีเรียสอะไรมาก แต่มหาวรเดชบอกว่า ถ้าทำผิดขนาดนี้แล้วยังไม่จับเณรสึก ท่านจะขอสึกไปเอง เพราะไม่อยากอยู่กับสังคมที่ปล่อยปละละเลย ไม่มีความเป็นธรรม


เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าอาวาสก็ต้องเลือกว่าจะเอาใครอยู่ และเเน่นอนว่านอกจากปฏิเสธหลักการที่หลวงพี่วรเดชพูดไม่ได้เเล้ว มหาวรเดชยังมีบทบาทสำคัญในวัดที่ช่วยงานบริหารและก่อสร้างต่าง ๆ จึงตัดสินใจให้เณรโขงต้องสึกออกไป


แต่เณรกำลังจะจบ ม.3 ในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า แม่และน้องสาวของเณรจึงมาขอร้องให้ยกโทษให้เณร อย่างน้อยขอให้เลื่อนการสึกไปก่อนเพราะจะส่งผลต่อการเรียนด้วย เขาจะเสียเวลาไปหนึ่งปี ผมจำได้ว่า เเม่ของเณรนั่งกับพื้น ร้องไห้เกาะประตูกุฏิเจ้าอาวาสเลย เณรโขงก็โกรธเณรบูมาก พูดเสียงดังว่าจะต่อยเณรบู เณรบูก็เป็นคนกล้าหาญ แกเดินออกมาหน้ากุฏิ ถกโจงกระเบนสบงขึ้นเพื่อให้ง่ายกับการเตะต่อย แล้วบอกให้เณรโขงออกมาต่อยกันตัวต่อตัว 


เหตุการณ์ในวัดคืนนั้นวุ่นวายมาก เณรหมูเป็นเณรรุ่นเดียวและอยู่กุฏิเดียวกับเณรโขง เอามีดที่วางอยู่ข้างเตียงเณรโขงมาพกไว้ที่สะเอว ผมเห็นเหตุการณ์นั้นเลยบอกให้เณรคนอื่นๆ ช่วยจับตาดูเณรหมูด้วย เกรงว่าแกจะไปช่วยรุมต่อย/แทงเณรบู แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เณรโขงก็ไม่ออกไปต่อยเณรบู อาจเพราะมีแม่อยู่ใกล้ๆ และรู้ดีว่าไม่ใช่ทางออก สุดท้ายก็ยอมสึกไปโดยไม่จบ ม.3 การเรียนโรงเรียนพระเณรจะพ่วงกับสถานะไปด้วย ถ้าไม่เป็นพระเณรแล้ว ก็เข้าห้องเรียนไม่ได้


ผมมีโอกาสได้คุยกับเณรหมูเรื่องที่เเกพบมีดในคืนนั้น เณรหมูเล่าว่า “ผมกลัวว่าไอ้โขงจะโกรธจนคุมตัวเองไม่ได้ แล้วจะเอามีดไปแทงเณรบู ผมเลยหยิบมีดมันมาซ่อนซะก่อน”


ความโชคร้ายของเณรโขงคือการถูกจับได้และมีพระมหาวรเดชเป็นเงื่อนไขว่าต้องลงโทษ ที่จริงการมีแฟนไม่ว่าจะมีเป็นผู้หญิงหรือพระเณรเกย์ กะเทยด้วยกันเอง หรือเปลี่ยนชุดออกไปเที่ยวข้างนอก เป็นเรื่องปกติที่เณรในช่วงนั้นทำกัน แค่ต้องระมัดระวังให้มากไม่ให้คนนอกรับทราบ ปกติโรงเรียนปริยัติธรรมจะไม่เคร่งกับเรื่องนี้มาก เพราะหากเคร่งมาก หลายคนจะทนอยู่ไม่ได้ เพราะเป้าหมายของโรงเรียนคือ ให้โอกาสเณรได้เรียนให้จบ จากนั้นเขาจะไปต่อยอด หรือสึกไปก็แล้วแต่จะเลือก 


เจษฎา บัวบาล

22 กันยายน 2566

.........................................

อ่านตอนอื่นๆ

ตอนที่ 1 ตาหลวงจอก พระติดหวยและรักหมาแมว

แสดงความคิดเห็น (0)
ใหม่กว่า เก่ากว่า